Rate it :
Showing posts with label Thai. Show all posts
Showing posts with label Thai. Show all posts
พระมหาชนก
Posted by satasukh
Posted on 1:21 AM
with No comments
“บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงมีความหวังตั้งมั่นไว้
พึงพยายามเรื่อยไป จนกว่าจะสำเร็จ สมปรารถนา
เราสามารถขึ้นจากน้ำ ได้รับราชสมบัติ ก็เพราะมีความเพียรพยายาม
ไม่ท้อถอย นรชนผู้มีปัญญาแม้มีทุกข์
ก็ไม่พึงหมดหวังในความสุข จริงอยู่คนเป็นอันมาก
ถูกทุกข์กระทบกระทั่ง ก็ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์
ถูกสุขกระทบกระทั่ง ก็ทำในสิ่งที่มีประโยชน์
คนเหล่านั้นไม่นึกถึงข้อความนั้น จึงถึงความตาย
สิ่งที่มิได้คิดไว้จะมีก็ได้ สิ่งที่คิดไว้จะพินาศไปก็ได้
โภคะทั้งหลายของคน มิได้สำเร็จ
เนื่องด้วยความคิดเท่านั้น”
all,
animation,
Thai,
Rate it :
การ์ตูนพุทธประวัติ - Life of the Buddha (ภาษาไทย)
Posted by satasukh
Posted on 1:11 AM
with No comments
Labels:
all,
banimation,
buddha,
Thai
การ์ตูนคุณธรรม 2
Posted by satasukh
Posted on 2:36 AM
with No comments
พุทธเจ้า ฉบับมหายาน การ์ตูน
Posted by satasukh
Posted on 2:04 AM
with No comments
Labels:
all,
banimation,
buddha,
Thai
พุทธานุภาพ (ศรราม ละครทีวี)
Posted by satasukh
Posted on 11:33 PM
with No comments
serials,
Thai,
Rate it :
Confucius Biography ชีวประวัติข้งจื้อ
Posted by satasukh
Posted on 11:27 PM
with No comments
Kong Qui, better known as Confucius, was born in 551 B.C. in the Lu state of China. His teachings, preserved in the Analects, focused on creating ethical models of family and public interaction, and setting educational standards. He died in 479 B.C. Confucianism later became the official imperial philosophy of China, and was extremely influential during the Han, Tang and Song dynasties.
เมื่อขงจื๊อเกิดมาได้เพียง3ปี บิดาที่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงได้เสียชีวิตจากไป ขงจื๊อในวัยเยาว์ชอบเล่นตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ ชอบเลียนแบบท่าทางพิธีกรรมของผู้ใหญ่ เมื่ออายุได้ 15 ปี ฝักใฝ่การเล่าเรียน อายุ 19 ปี ได้แต่งงานกับแม่นางหยวนกวน ในปีถัดมาได้ลูกชาย ให้ชื่อว่า คงลี้ อายุ 20 ขงจื๊อได้เป็น เสมียนยุ้งฉาง และได้ใส่ใจความถูกต้องเนื่องจากทำงานกับตัวเลข ต่อมาได้ทำหลายหน้าที่รวมทั้ง คนดูแลสัตว์ คนคุมงานก่อสร้าง และในระหว่างที่ศึกษาพิธีกรรมจากรัฐโจว ได้โอกาสไปเยี่ยมเล่าจื๊อ ขงจื๊อมีความสัมพันธ์อันดีกับ เสนาธิบดีของอ๋องจิง และได้ฝากตัวเป็นพ่อบ้าน และได้มีการพูดคุยกับอ๋องในการวางแผน และหลักการปกครอง แต่เนื่องจากโดนใส่ความจากที่ปรึกษาของรัฐ ขงจื๊อจึงเดินทางต่อไปรัฐอื่น ภายหลังได้ฝากฝังตัวเองช่วยบ้านเมือง กับอ๋องติง และได้รับการแต่งตั้งดินแดนส่วนกลางของลู่ เป็นเสนาธิบดีใหญ่ บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง อาชญากรลดลง คนมีคุณธรรมและเคารพผู้อาวุโส และในระหว่างนั้น ได้มีการแบ่งแย่งดินแดน การแย่งชิงเมืองต่างๆ เกิดขึ้น ขงจื๊อได้เดินทางจากเมืองไปสู่เมืองต่างๆ เรียนรู้หลักการปกครอง และวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละที่ ภายหลังได้ถูกหมายเอาชีวิต และถูกขับไล่ให้ตกทุกข์ได้ยาก และได้กลับมาสู่แคว้นลู่อีกครั้ง ขงจื๊อได้เริ่มรวบรวบพิธีกรรมโบราณ บทเพลง ตำราโบราณ และลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และได้สอนสั่งลูกศิษย์แถบแม่น้ำซูกับแม่น้ำสี ภายหลังขงจื๊อได้ล้มป่วยหนัก และเจ็ดวันให้หลัง ได้อำลาโลก ตรงกับเดือนสี่ทางจันทรคติ ในปีที่ 16 รัชสมัยอ๋องอี้ รวมอายุได้ 73 ปี
เมื่อขงจื๊อเกิดมาได้เพียง3ปี บิดาที่มีร่างกายสูงใหญ่และแข็งแรงได้เสียชีวิตจากไป ขงจื๊อในวัยเยาว์ชอบเล่นตั้งโต๊ะเซ่นไหว้ ชอบเลียนแบบท่าทางพิธีกรรมของผู้ใหญ่ เมื่ออายุได้ 15 ปี ฝักใฝ่การเล่าเรียน อายุ 19 ปี ได้แต่งงานกับแม่นางหยวนกวน ในปีถัดมาได้ลูกชาย ให้ชื่อว่า คงลี้ อายุ 20 ขงจื๊อได้เป็น เสมียนยุ้งฉาง และได้ใส่ใจความถูกต้องเนื่องจากทำงานกับตัวเลข ต่อมาได้ทำหลายหน้าที่รวมทั้ง คนดูแลสัตว์ คนคุมงานก่อสร้าง และในระหว่างที่ศึกษาพิธีกรรมจากรัฐโจว ได้โอกาสไปเยี่ยมเล่าจื๊อ ขงจื๊อมีความสัมพันธ์อันดีกับ เสนาธิบดีของอ๋องจิง และได้ฝากตัวเป็นพ่อบ้าน และได้มีการพูดคุยกับอ๋องในการวางแผน และหลักการปกครอง แต่เนื่องจากโดนใส่ความจากที่ปรึกษาของรัฐ ขงจื๊อจึงเดินทางต่อไปรัฐอื่น ภายหลังได้ฝากฝังตัวเองช่วยบ้านเมือง กับอ๋องติง และได้รับการแต่งตั้งดินแดนส่วนกลางของลู่ เป็นเสนาธิบดีใหญ่ บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง อาชญากรลดลง คนมีคุณธรรมและเคารพผู้อาวุโส และในระหว่างนั้น ได้มีการแบ่งแย่งดินแดน การแย่งชิงเมืองต่างๆ เกิดขึ้น ขงจื๊อได้เดินทางจากเมืองไปสู่เมืองต่างๆ เรียนรู้หลักการปกครอง และวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละที่ ภายหลังได้ถูกหมายเอาชีวิต และถูกขับไล่ให้ตกทุกข์ได้ยาก และได้กลับมาสู่แคว้นลู่อีกครั้ง ขงจื๊อได้เริ่มรวบรวบพิธีกรรมโบราณ บทเพลง ตำราโบราณ และลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และได้สอนสั่งลูกศิษย์แถบแม่น้ำซูกับแม่น้ำสี ภายหลังขงจื๊อได้ล้มป่วยหนัก และเจ็ดวันให้หลัง ได้อำลาโลก ตรงกับเดือนสี่ทางจันทรคติ ในปีที่ 16 รัชสมัยอ๋องอี้ รวมอายุได้ 73 ปี
all,
documentary,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
documentary,
Thai
พระพุทธเจ้า (Buddha) 2007 ไทย
Posted by satasukh
Posted on 10:46 PM
with No comments
เรื่องย่อ
ย้อนหลังไปกว่า ๒๕๐๐ ปี เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ ณ สวนลุมพินี โหรได้ทำนายว่าถ้าเจ้าชายไม่ได้เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นบิดาจึงทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้พระราชกุมารผันความสนพระทัยไปออกผนวช
แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าชายก็ได้พบความจริงว่ามนุษย์นั้นจะอย่างไรก็ไม่พ้นความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงตัดสินใจช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกขเวทนานี้ โดยหนีออกจากพระราชวังไปออกผนวช เจ้าชายสิทธัตถะต้องพบกับอุปสรรค ต้องทดลองทรมานตนหลายรูปแบบ ต้องพบกับมารที่มาผจญกว่าจะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อพบกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ในการช่วยเหลือมนุษย์โลกให้พ้นทุกข์
all,
banimation,
bmovies,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
banimation,
bmovies,
Thai
Shudra The Rising 2012
Posted by satasukh
Posted on 4:57 AM
Shudra is based on about 250 million people born Out Caste in Hindu Varna system. They were treated as Unclean & Impure, so much so that nobody ever even touched them or even allowed their shadow to fall on upper cast. They were called by the names of Chandaal, Antyaja, Black Caste, Harijan, Schedule caste & SHUDRA - THE UNTOUCHABLES.
An out caste Man 'Shudra' died for want of a sip of water, a child is publicity violated for uttering Holy Mantras, a pregnant woman is forced in the physical submission, a wounded man dies in need of medicine, all for one crime only... Born in the caste of 'Shudra-The Untouchable'.
It is believed that nature took ages to make man out of animal, but it took moments for certain men to make their fellow human animal again. They were named differently across the globe like -'BLACKS', 'RED INDIANS', 'DASYU', 'DAS'Chandala, Antyaja, Black Caste, Out Caste, Schedule Caste & 'Shudra- The Untouchable'.
'Shudra- The Rising' highlights the depth of evil human mind can succumb, to cling on to power and supremacy.
A historical reminder of the danger of division and segregation, issues which are as relevant today as it was then.
Shudra: The Rising is a Hindi language film with a storyline based on the caste system in ancient India, and more specifically the Hindu Varna system. It is directed by Sanjiv Jaiswal and dedicated to Bhim Rao Ambedkar.
The film release was originally expected in February 2012, but was postponed to July 2012.
Plot
Shudra: The Rising is set in the time of the Harappan civilisation and has a storyline that concerns the caste system of ancient India.
The film depicts the four basic units of the caste system - the Brahmins, Kshatriyas, Vaishyas and the Shudras. The initial part narrates the invasion of the people of west Asia to India. They were of the Aryan race and they take over the local tribe and start controlling them. Finally a learned scholar, Manu Rishi, creates a caste system which classifies the local population as Shudras, who then suffer from cruel social rules. They are suppressed and exploited at every level of their lives by the upper caste people. The film shows various rules imposed on the Shudras such as waking with a bell around their ankles and a long leaf behind their back,and a pot hanging around their neck.
all,
bmovies,
English,
Thai,
Rate it :
การ์ตูนพุทธประวัติและพระสูตรมหายาน
Posted by satasukh
Posted on 11:04 AM
with No comments
การ์ตูนพุทธประวัติและพระสูตรมหายาน (ตำนานพุทธศาสนา พระพุทธองค์ยุติธรรมไม่ลำเอียง 2-12) .. พระวิศวภัทร เซี่ยเกี๊ยก และทีมงานเผยแผ่พระธรรม มูลนิธิพุทธจักษุวิชชาลัย พุทธมณฑลสาย 6 ..แปลไทย พร้อมทั้งทีมงานตรวจทาน ทีมงานพากย์ ทีมงานจัดทำ ร่วมเผยแผ่เป็นธรรมทาน .
all,
banimation,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
banimation,
Thai
มิลินทปัญหา
Posted by satasukh
Posted on 10:52 AM
with No comments
แอนิเมชั่น มิลินทปัญหา (รวมทั้งหมด ๘ ตอน)
เรื่องนี้เคยถูกนำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยมีความร่วมมือกันระหว่าง คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และ บริษัทธีร์ โฮลดิ้ง จำกัด ได้นำ " มิลินทปัญหา " มาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่น และถูกถ่ายทอดเป็นภาพถ่ายทอดเรื่องราว โดยบริษัท แอพริฌิเอท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด
เรื่องนี้เคยถูกนำออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยมีความร่วมมือกันระหว่าง คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และ บริษัทธีร์ โฮลดิ้ง จำกัด ได้นำ " มิลินทปัญหา " มาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่น และถูกถ่ายทอดเป็นภาพถ่ายทอดเรื่องราว โดยบริษัท แอพริฌิเอท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด
all,
banimation,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
banimation,
Thai
การ์ตูนพุทธประวัติ ฉบับมหายาน - Life of the Buddha (Thai-English)
Posted by satasukh
Posted on 10:00 AM
with No comments
all,
banimation,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
banimation,
Thai
โอเซียม-Oseam (ไทยซับ)
Posted by satasukh
Posted on 9:44 AM
โอเซียม (Oseam) เป็นเรื่องราวของเด็กน้อยสองพี่น้องกำพร้าผู้มีชะตากรรมสุดแสนอาภัพ Gami พี่สาวตาบอดต้องคอยดูแล Gilson น้องชายเพียงลำพังตั้งแต่ยังเล็ก และเพื่อรักษาความหวังและความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของ น้องชาย จำเป็นต้องโกหกเรื่องแม่ที่จากไป ฝ่ายน้องชายซึ่งอยู่ในวัยกำลังซน แม้จะสร้างเรื่องปวดหัวให้พี่สาว แต่ก็มีจิตใจดีงามและหวังอย่างเด็กให้พี่สาวมองเห็นไ ด้อีกครั้งเพื่อจะได้จำหน้าแม่ได้หากได้พบกับแม่ ระหว่างการเดินทางอย่างไร้จุดหมาย สองพี่น้องได้รับความช่วยเหลือจากพระสงฆ์และได้ไปอาศัยอยู่ที่วัด ชีวิตของสองพี่น้องจะเป็นเช่นไร ติดตามชมได้จากภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้
all,
banimation,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
banimation,
Thai
TEMPLE OF THE TIGERS (Documentary)
Posted by satasukh
Posted on 2:43 AM
with No comments
วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือ วัดเสือ ตั้งอยู่ ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
วัดนี้ได้สถาปนาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยเริ่มจากชาวบ้านช่วยลูกเสือซึ่งแม่มันถูกฆ่าจากนายพรานและนำมาที่วัด เจ้าอาวาสรับไว้ในขณะที่ไม่มีใครรับ และเอาใจใส่เลี้ยงดูเหมือนเป็นลูก ๆ จึงเป็นที่มาของวัด โดยตั้งใจให้เป็นที่พักพิงของสัตว์ป่าที่บาดเจ็บหรือขาดพ่อแม่ทั้งหลาย และได้รับการเลี้ยงดูแบบชาวพุทธที่ดี เช่น เมื่อบรรดาเสือแสดงอากัปกิริยาที่ไม่ดีมีการร้องคำรามขู่ พระที่เลี้ยงก็จะเอาน้ำสาดจากขวดพลาสติก หรือหาอะไรปิดตาเสือเหล่านี้ไว้ เมื่อมีวัวหรือแพะเดินผ่านมาใกล้ ๆ
เสือในวัดเป็น เสือโคร่งอินโดจีน (Panthera tigris corbetti) ซึ่งเสือโคร่งที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และจีนด้านตะวันออก มีจำนวน 17 ตัวที่วัด เป็นเสือกำพร้าที่ได้ช่วยชีวิตมาจากป่าเจ็ดตัว และอีกสิบตัวเกิดที่วัดนี้ (ข้อมูล เดือนธันวาคม 2548)
นิตยสารไทม์ฉบับวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ได้ยกย่องให้วัดป่าหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ซึ่งหมายถึงการที่ทางวัดสามารถนำเสือที่เป็นสัตว์ดุร้ายมาอยู่ร่วมกับคนได้โดยไม่เกิดอันตราย
all,
documentary,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
documentary,
Thai
Seven Wonders of the Buddhist World (BBC Documentary)
Posted by satasukh
Posted on 1:53 AM
with No comments
In this fascinating documentary, historian Bettany Hughes travels to the seven wonders of the Buddhist world and offers a unique insight into one of the most ancient belief systems still practised today.
Buddhism began 2,500 years ago when one man had an amazing internal revelation underneath a peepul tree in India. Today it is practised by over 350 million people worldwide, with numbers continuing to grow year on year.
In an attempt to gain a better understanding of the different beliefs and practices that form the core of the Buddhist philosophy and investigate how Buddhism started and where it travelled to, Hughes visits some of the most spectacular monuments built by Buddhists across the globe.
Her journey begins at the Mahabodhi Temple in India, where Buddhism was born; here Hughes examines the foundations of the belief system - the three jewels.
At Nepal's Boudhanath Stupa, she looks deeper into the concept of dharma - the teaching of Buddha, and at the Temple of the Tooth in Sri Lanka, Bettany explores karma, the idea that our intentional acts will be mirrored in the future.
At Wat Pho Temple in Thailand, Hughes explores samsara, the endless cycle of birth and death that Buddhists seek to end by achieving enlightenment, before travelling to Angkor Wat in Cambodia to learn more about the practice of meditation.
In Hong Kong, Hughes visits the Giant Buddha and looks more closely at Zen, before arriving at the final wonder, the Hsi Lai temple in Los Angeles, to discover more about the ultimate goal for all Buddhists - nirvana.
all,
documentary,
English,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
documentary,
English,
Thai
มู่หลาน วีรสตรีโลกจารึก
Posted by satasukh
Posted on 12:30 AM
with No comments
เรื่องย่อ : มู่หลาน วีรสตรีโลกจารึก
ในปี ค.ศ. 450 จักรวรรดิจีนถูกคุกคามไม่ลดละจากชนเผ่าโหรวหรันอันป่าเถื่อน กองทัพจีนจึงต้องเกณฑ์ไพร่พลจากทั่วประเทศ มารับมือกับภัยต่อความมั่นคงของชาติ ทหารปลดประจำการชื่อฮัวหู่ ยืนกรานจะขอร่วมรบกับกองทัพเพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน ในขณะที่ มู่หลาน (จ้าวเหว่ย) ลูกสาวของเขาซึ่งทั้งฉลาดหลักแหลม และมีทักษะทางศิลปะการต่อสู้เป็นเลิศ แต่เป็นผู้หญิงจึงร่วมทัพไม่ได้ ทว่าเมื่อคิดว่าพ่อที่แก่ชราต้องไปตกระกำลำบากในสนามรบ เธอก็ทนไม่ได้เช่นกัน จึงตัดสินใจมอมเหล้าพ่อจนเมามาย แต่งตัวเป็นชาย และเข้าร่วมทัพในชื่อของพ่อ
ระหว่างฝึกหนักในค่ายทหาร มู่หลาน พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอกล้าหาญ ไม่เคยย่อท้อ และช่วยปกป้องหลายๆ คนให้รอดพ้นจากนักเลงในกองทัพ กระทั่งกลายเป็นที่สนใจของรองแม่ทัพ เหวินไถ้ (เฉินคุน) หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็พัฒนาความเลื่อมใสศรัทธาซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ตาม มู่หลาน ต้องคอยระวังไม่ให้ใครๆ ล่วงรู้เพศที่แท้จริงตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเหวินไถ้ เห็นเธออาบน้ำโดยบังเอิญ ทว่ายังโชคดีที่หนีไปได้ก่อนที่เขาจะเห็นตัวตนที่แท้จริง แต่กระนั้น เหวินไถ้ ก็ยังมุ่งมั่นจะเปิดโปงหญิงสาวที่หลบซ่อนในกองทัพตามข่าวลือ สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อนักเลงในกองทัพทำจี้หยกหาย ทุกคนต้องเข้าแถวเปลือยกายให้ค้นตัว ด้วยความที่กลัวว่าตัวตนจะถูกเผย ชื่อเสียงของพ่อต้องป่นปี้ มู่หลาน จึงรับเป็นขโมยเสียเอง ซึ่งต้องโทษถึงประหาร ระหว่างถูกจองจำ เธอเล่าความจริงทั้งหมดให้เหวินไถ้ รู้ ในขณะที่เขาก็ให้สัญญากับเธอว่า จะเก็บไว้เป็นความลับไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
ต่อเมื่อเผ่าโหรวหรันบุกโจมตีกระทันหัน เหวินไถ้ จึงปล่อยมู่หลาน ให้เป็นอิสระ ทว่าเธอยังยืนกรานที่จะรบ จนกระทั่งตัดศีรษะนายพลโหรวหรันได้ในที่สุด ด้วยความดีความชอบครั้งนี้ เธอพ้นโทษตายทันที มิหนำซ้ำยังได้เลื่อนขึ้นเป็นรองแม่ทัพอีกคนหนึ่งด้วย มู่หลาน และเหวินไถ้ ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในศึกหลังจากนั้นอีกหลายต่อหลายครั้ง ในขณะเดียวกันมิตรภาพก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักทีละน้อย
แต่กระนั้น กองทัพโหรวหรันกลับแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเจ้าชายเม่าตุ้นกระทำปิตุฆาตและขึ้นครองบัลลังก์ พร้อมทั้งยกพลบุกโจมตีสายฟ้าแลบนับครั้งไม่ถ้วน มู่หลาน จึงต้องนำพาความรักและความกล้าหาญ ข้ามผ่านสุดยอดบทพิสูจน์นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน ...หรือเธอจะต้องสละรักแท้เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองกันแน่?
ในปี ค.ศ. 450 จักรวรรดิจีนถูกคุกคามไม่ลดละจากชนเผ่าโหรวหรันอันป่าเถื่อน กองทัพจีนจึงต้องเกณฑ์ไพร่พลจากทั่วประเทศ มารับมือกับภัยต่อความมั่นคงของชาติ ทหารปลดประจำการชื่อฮัวหู่ ยืนกรานจะขอร่วมรบกับกองทัพเพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน ในขณะที่ มู่หลาน (จ้าวเหว่ย) ลูกสาวของเขาซึ่งทั้งฉลาดหลักแหลม และมีทักษะทางศิลปะการต่อสู้เป็นเลิศ แต่เป็นผู้หญิงจึงร่วมทัพไม่ได้ ทว่าเมื่อคิดว่าพ่อที่แก่ชราต้องไปตกระกำลำบากในสนามรบ เธอก็ทนไม่ได้เช่นกัน จึงตัดสินใจมอมเหล้าพ่อจนเมามาย แต่งตัวเป็นชาย และเข้าร่วมทัพในชื่อของพ่อ
ระหว่างฝึกหนักในค่ายทหาร มู่หลาน พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอกล้าหาญ ไม่เคยย่อท้อ และช่วยปกป้องหลายๆ คนให้รอดพ้นจากนักเลงในกองทัพ กระทั่งกลายเป็นที่สนใจของรองแม่ทัพ เหวินไถ้ (เฉินคุน) หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็พัฒนาความเลื่อมใสศรัทธาซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ตาม มู่หลาน ต้องคอยระวังไม่ให้ใครๆ ล่วงรู้เพศที่แท้จริงตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเหวินไถ้ เห็นเธออาบน้ำโดยบังเอิญ ทว่ายังโชคดีที่หนีไปได้ก่อนที่เขาจะเห็นตัวตนที่แท้จริง แต่กระนั้น เหวินไถ้ ก็ยังมุ่งมั่นจะเปิดโปงหญิงสาวที่หลบซ่อนในกองทัพตามข่าวลือ สถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อนักเลงในกองทัพทำจี้หยกหาย ทุกคนต้องเข้าแถวเปลือยกายให้ค้นตัว ด้วยความที่กลัวว่าตัวตนจะถูกเผย ชื่อเสียงของพ่อต้องป่นปี้ มู่หลาน จึงรับเป็นขโมยเสียเอง ซึ่งต้องโทษถึงประหาร ระหว่างถูกจองจำ เธอเล่าความจริงทั้งหมดให้เหวินไถ้ รู้ ในขณะที่เขาก็ให้สัญญากับเธอว่า จะเก็บไว้เป็นความลับไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
ต่อเมื่อเผ่าโหรวหรันบุกโจมตีกระทันหัน เหวินไถ้ จึงปล่อยมู่หลาน ให้เป็นอิสระ ทว่าเธอยังยืนกรานที่จะรบ จนกระทั่งตัดศีรษะนายพลโหรวหรันได้ในที่สุด ด้วยความดีความชอบครั้งนี้ เธอพ้นโทษตายทันที มิหนำซ้ำยังได้เลื่อนขึ้นเป็นรองแม่ทัพอีกคนหนึ่งด้วย มู่หลาน และเหวินไถ้ ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในศึกหลังจากนั้นอีกหลายต่อหลายครั้ง ในขณะเดียวกันมิตรภาพก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรักทีละน้อย
แต่กระนั้น กองทัพโหรวหรันกลับแข็งแกร่งขึ้น เมื่อเจ้าชายเม่าตุ้นกระทำปิตุฆาตและขึ้นครองบัลลังก์ พร้อมทั้งยกพลบุกโจมตีสายฟ้าแลบนับครั้งไม่ถ้วน มู่หลาน จึงต้องนำพาความรักและความกล้าหาญ ข้ามผ่านสุดยอดบทพิสูจน์นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน ...หรือเธอจะต้องสละรักแท้เพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองกันแน่?
You must have the Adobe Flash Player installed to view
this player.
all,
movies,
Thai,
Rate it :
พระพุทธศาสนาในเวียดนาม
Posted by satasukh
Posted on 8:41 AM
with No comments
พุทธศาสนาในประเทศเวียตนาม
ดินแดนประเทศเวียดนามในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น ๓ อาณาเขต คือ ตังเกี๋ย (Tong king) ได้แก่ แถบลุ่มแม่น้ำแดง อานัม (Annam) ได้แก่ แผ่นดินแคบยาวตามทอดชายฝั่งทะเล ที่อยู่ตอนกลางระหว่างตังเกี๋ยกับโคชินจีน และโคชินจีน (Cochin China) ได้แก่แผ่นดินส่วนล่างทั้งหมด ปัจจุบันนี้ อานัมภาคใต้ เป็นอาณาจักรจัมปา ส่วนโคชินจีนเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟูนัน ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศกัมพูชาปัจจุบัน อาณาจักรอานัม มีอารยธรรมสืบสายมาจากจีน ส่วนจัมปากับฟูนันมีอารยธรรมที่สืบสายมาจากอินเดีย
อาณาจักรอานัมมีอายุเกือบ ๓ พันปี แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน จนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๓๐๐ ได้จัดตั้งเป็นอาณาจักรเวียดนาม (เวียดนาม แปลว่า อาณาจักรฝ่ายทักษิณ) ต่อมาอาณาจักรเวียดนาม ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจีน ใน พ.ศ. ๔๓๓ เป็นเวลานานกว่า ๑,๐๐๐ ปี ในระยะนี้ เรียกประเทศเวียดนามว่า อานัม แปลว่า ปักษ์ใต้ที่สงบ จากการตกเป็นเมืองขึ้นของจีน จึงได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนแทบทั้งสิ้น ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๑๔๘๒ เวียดนามได้ทำการกอบกู้เอกราชจากจีนได้สำเร็จ ได้ประกาศอิสรภาพจากจีน ต่อมาอาณาจักรเวียดนามได้แผ่อำนาจมาทางใต้สามารถเข้ายึดครองนครจัมปาได้ในที่สุด
พระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแผ่ในประเทศเวียดนาม เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗ ในขณะนั้น เวียดนามตกอยู่ในอำนาจของจีน พระพุทธศาสนาที่เข้ามาสู่เวียดนามในยุคแรกนั้น เป็นพุทธศาสนาแบบมหายาน โดยสันนิษฐานว่าท่านเมียวโป (Meou-Po) ได้เดินทางมาจากประเทศจีนเข้ามาเผยแผ่ เวียดนามจึงได้รับเอาศาสนาจากจีน รวมทั้งคัมภีร์ทางศาสนา ก็เป็นภาษาจีนเหมือนกัน สันนิษฐานกันว่า ได้มีพระภิกษุชาวอินเดีย คือ พระมหาชีวก พระกัลยาณรุจิ และ พระถังเซงโฮย ได้เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนา ในยุคเดียวกับท่านเมียวโป แต่การเผยแผ่พุทธศาสนาก็ไม่เจริญนัก เพราะกษัตริย์จีนในขณะนั้นนับถือศาสนาขงจื้อ ไม่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา และยังไม่พอพระทัยที่มีคนนับถือพุทธศาสนา
ต่อมาเมื่อชาวเวียดนามกอบกู้เอกราชได้สำเร็จ พระพุทธศาสนาได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจัง ในครั้งนั้นได้มีพระภิกษุชาวอินเดีย ชื่อ วินีตรุจิ ท่านได้ศึกษาพุทธศาสนาในอินเดียแล้วยัง ได้เดินทางมาศึกษาพุทธศาสนานิกายเซน หรือ เธียร (Thien) ในประเทศจีน แล้วเดินทางมาเผยแผ่ พุทธศาสนานิกายเธียร หรือ เซน ในเวียดนามจนพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ
คราวที่เวียดนามกู้อิสระภาพ ได้ตั้งอาณาจักรไคโคเวียด ใน พ.ศ. ๑๔๘๒ หลังจากได้อิสระภาพแล้ว ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันเอง ประมาณ ๓๐ ปี ระยะนี้พุทธศาสนาซบเซาขาดการทำนุบำรุง ต่อมาเมื่อราชวงศ์ดินห์ ขึ้นครองอำนาจในปี พ.ศ. ๑๒๑๒ แล้ว พระพุทธศาสนากลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พระพุทธศาสนาได้มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก
ใน พ.ศ. ๑๕๑๑-๑๕๒๒ รัฐบาลได้จัดตั้งองค์การปกครองคณะสงฆ์ขึ้น โดยรวมเอาคณะนักบวชเต๋ากับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เข้าในระบบฐานันดรศักดิ์เดียวกัน พระเจ้าจักรพรรดิเวียดนาม ทรงสถาปนาพระภิกษุง่อฉั่นหลู เป็นประมุขสงฆ์ของเวียดนาม และแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ด้วย
ในสมัยกษัตริย์องค์ที่ ๒ แห่งราชวงศ์เล (๑๕๔๘-๑๕๕๑) ได้ส่งพระสงฆ์ไปขอพระไตรปิฎกจากประเทศจีน ๑ ชุด และทรงแนะนำให้ประชาชนเลิกนับถือผีสาง เทวดา มานับถือพระพุทธศาสนา แต่ประชาชนยังนับถือผีสาง เทวดา พร้อมกับพุทธศาสนาด้วย
สมัยราชวงศ์ไล (๒๑๕ ปี) เป็นช่วงที่พุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เพราะเป็นศาสนาเดียวที่ได้รับการอุปถัมภ์ และศรัทธาอย่างแรงกล้าจากราชวงศ์นี้ เช่น สมัยของพระเจ้าไลไทต๋อง (๑๕๗๑-๑๕๘๘) ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาอย่างกวางขวาง เช่น โปรดให้สร้างวิหาร ๙๕ แห่ง
สมัยพระเจ้าไลทันต๋อง (๑๕๙๗-๑๖๑๕) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเอาใจใส่บ้านเมือง และประชาชนมาก ดำเนินรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช เช่น สงเคราะห์ประชาชนผู้ทุกข์ยาก เป็นต้น
พ.ศ. ๑๙๕๗ เวียดนามได้ตกเป็นเมืองขึ้นของจีนอีก ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๕๗-๑๙๗๔เป็นเวลา ๑๗ ปี ก็ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรมไปมาก เพราะกษัตริย์ราชวงศ์หมิงของจีน ได้ส่งเสริมแต่ลัทธิขงจื้อ และเต๋า ในขณะนั้นพุทธศาสนานิกายตันตระ ของธิเบตก็เข้ามา จีนได้ทำลายวัด เก็บเอาทรัพย์สิน และคัมภีร์พุทธศาสนาไปหมด
พอเวียดนามได้เอกราชอีก เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๔ พุทธศาสนาก็ไม่ดีขึ้น เพราะกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ ไม่ส่งเสริมพระพุทธศาสนา กลับเข้าแทรกแซงกิจการทางศาสนา ในช่วงนี้เองได้เกิดนิกายตินห์โดขึ้นในเวียดนาม ซึ่งเผยแผ่มาจากจีนถึงเวียดนาม ต่อมานิกายนี้ได้ผสมผสานกับนิกายเดิม คือ นิกายเธียร จนเกิดเป็นพุทธศาสนาแบบหนึ่งขึ้นมา ที่ยังปฏิบัติกันอยู่ตามโรงเจดีย์ (Chua) ในปัจจุบัน
พ.ศ. ๒๐๑๔ พระเจ้าเลทันต๋องได้รวบรวมอาณาจักรจัมปาเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของเวียดนามได้สำเร็จ จนถึง พ.ศ. ๒๐๗๖ เวียดนามก็ได้แตกแยกเป็น ๒ อาณาจักร ได้แก่อาณาจักรฝ่ายเหนือที่พวกตระกูลตรินห์ (Trinh) ครองอำนาจ คือแคว้นตังเกี๋ย กับอาณาจักรฝ่ายใต้ขงราชวงศ์เหงียน (Nguyen) คือแคว้นอานัม ทั้ง ๒ อาณาจักร ต่างทำสงครามกันมาตลอดระยะเวลา ๒๗๐ ปี จนรวมเป็นอาณาจักรเดียวกันอีก เมื่อพ.ศ. ๒๓๔๕ ในช่วงเวลาที่แตกแยกกันเป็นเวลา ๒๗๐ ปีนั้น พุทธศาสนาต่างฝ่ายต่างทำนุบำรุงพุทธศาสนา มีการสร้าง และปฏิสังขรวัดวาอารามมากมาย
ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ชาวตะวันตกได้เริ่มเดินทางมาติดต่อกับเวียดนามทางการค้าขาย และการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิค มีพวกโปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส สเปน และอังกฤษ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๒ นักสอนศาสนาชาวโปรตุเกส และชาวฝรั่งเศส ได้คิดค้นวิธีการเขียนภาษาเวียดนามด้วยอักษรโรมัน จนชาวเวียดนามเลิกใช้ภาษาจีน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๗๐-๒๔๐๑ เวียดนามได้ทำการปราบปรามพวกคริสต์อย่างเด็ดขาดโดยการจับฆ่าตาย ทำให้พวกนักสอนศาสนาถูกฆ่าตายจำนวนมาก และพวกชาวคริสต์ญวนอีก จำนวนนับแสนคน จนเกิดการขัดแย้งกันระหว่างเวียดนาม กับ อังกฤษ จนที่สุด อังกฤษสามารถเข้ายึดครองเวียดนามได้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๐๒ ยึดครองเมืองไซง่อนได้ พ.ศ. ๒๔๒๖ เวียดนามก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
สมัยที่ฝรั่งเศสปกครองเวียดนามพุทธศาสนา เสื่อมโทรมลงมาก เพราะถูกเบียดเบียนจากพวกฝรั่งเศส ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ เช่นการห้ามสร้างวัด เว้นแต่ได้รับอนุญาต จำกัดสิทธิพระสงฆ์ที่จะรับถวายสิ่งของ จำกัดจำนวนพระภิกษุ เป็นต้น แม้ชาวพุทธจะถูกจำกัดสิทธิ โดยไม่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงเลย หากจะเป็นได้ต้องนับถือศาสนาคริสต์เสียก่อน และต้องโอนสัญชาติเป็นฝรั่งเศสด้วย จึงทำให้ชาวพุทธไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหาร และไม่มีสิทธิ ไม่มีเสียงอะไรในแผ่นดิน ชาวเวียดนามได้พยายามรวมตัวกันเพื่อลุกขึ้นสู้กอบกู้เอกราช แต่ก็ถูกปราบปรามอย่างรุนแรงไปเป็นระยะ ๆ ในระยะนี้เองพระพุทธศาสนา ซึ่งมีท่าทีว่าจะสูญสิ้น ก็มีการตื่นตัว ฟื้นฟูกันอีกครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้มีการจัดตั้งสมาคมพุทธศาสนาศึกษาแห่งโคชินจีน (Cochinchina Buddhist study society) ขึ้นที่เมืองไซง่อน และได้มีการตั้งสมาคมทางพุทธศาสนาขึ้นอีกที่เมืองเว้ (อานัม) และที่เมืองฮานอย โดยสมาคม ฯ มุ่งเน้นด้านการศึกษา และสังคมสงเคราะห์ ปฏิรูปพระวินัยของสงฆ์ และส่งเสริมให้พระภิกษุสงฆ์ได้ศึกษาพุทธศาสนาแบบใหม่ ได้มีการจัดพิมพ์วารสารของพระพุทธศาสนาและแปลคัมภีร์ต่าง ๆ ทั้งฝ่ายมหายานและเถรวาท
การฟื้นฟูพุทธศาสนาในครั้งนั้น นับว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของคนระดับปัญญาชน ที่เคยประสบความผิดหวังมาจากวัตถุนิยม ทางตะวันตก โดยมาสนับสนุนการฟื้นฟูพุทธศาสนาในครั้งนั้นอย่างมากมาย แต่การเผยแผ่ฟื้นฟูพุทธศาสนาก็เป็นอันหยุดชะงัก ลงอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ หลังสงครามโลกสงบลง การฟื้นฟูพุทธศาสนาในเวียดนามก็ได้ดำเนินการต่อไปอีก ที่เมืองฮานอยได้มีการตั้งบริหารคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ และจัดตั้งพุทธสมาคมสำหรับฆราวาสขึ้นด้วย
ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ที่เมืองไซง่อนได้จัดตั้งพุทธสมาคมขึ้น เพื่อฟื้นฟูการศึกษาพระพุทธศาสนา แทนพุทธสมาคมเก่า ซึ่งได้ล้มเลิกกิจการไปตั้งแต่ก่อนสงครามโลก
ในปัจจุบันนี้ ประเทศเวียดนามนับถือพระพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และขงจื้อ เป็นการนับถือผสมผสาน โดยเฉพาะทางด้านหลักธรรมคำสอน จะปฏิบัติตามคำสอนของทั้ง ๓ ศาสนา ทางด้านการศึกษาพระพุทธศาสนาได้มีการเปิดสอนพระพุทธศาสนาขึ้น โดยมหาวิทยาลัยวันฮันห์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งพระพุทธศาสนา โดยการจัดตั้งขึ้นของสหพุทธจักรเวียดนาม และได้รับการรับรองจากรัฐบาลเวียดนาม เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๐๗ ในปัจจุบันนี้ มหาวิทยาลัยฮันห์ ทำการเปิดสอน ๔ คณะคือ คณะพุทธศาสตร์ และบูรพาวิทยา คณะอักษรศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะภาษาศาสตร์ เฉพาะคณะพุทธศาสตร์และบูรพาวิทยา แบ่งออกเป็น ๙ ภาควิชา คือ ภาควิชาพุทธปรัชญา วรรณคดีพุทธศาสนา พุทธศาสนประวัติ พุทธศาสนาทั่วไป พุทธศาสนาในเวียดนาม ปรัชญาตะวันออก ปรัชญาอินเดีย ปรัชญาจีน และปรัชญาตะวันตก
อิทธิพลพระพุทธศาสนาต่อประเทศเวียดนาม
๑. อิทธิพลทางสังคม
๑.๑ วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นที่พึ่งของชุมชน เช่น
ศาลเจดีย์ หรือโรงเจดีย์ หรือหอเจดีย์ ที่เรียกว่า จัว [Chua=Pagoda] เป็นที่บูชาเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพระพุทธศาสนา และเป็นที่ประกอบพิธีบูชา หรืองานเทศกาลทางพระพุทธศาสนา เช่น พิธี ๑ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และงานศราทธ์กลางเดือน ๗ เป็นต้น พระพุทธศาสนาอย่างที่นับถือปฏิบัติตามศาลเจดีย์เหล่านั้น เป็นการผสมระหว่างนิกายเธียร (เซน) กับตินห์โด (ชิน) หรือเป็นศาสนาแบบชาวบ้าน ไม่สู้มีเนื้อหาหลักธรรมลึกซึ้งอะไร คือเป็นลัทธิบูชาเทพเจ้า พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์หรือปูชนียบุคคลของจีน เช่น พระกวานอาม (กวนอิม ) เป็นต้น
๑.๒ วัดเป็นศูนย์กลางของการศึกษา
วัดเป็นสถานที่รวมแหล่งทางการศึกษาแห่งชนชั้นทุกระดับ และยังเป็นสถานที่ชุมนุมของชาวพุทธในการพบปะปรึกษาหารือกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในด้านศาสนาและทั้งในด้านการเมือง โดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้นำประชาชน และมีส่วนร่วมในการกอบกู้เอกราช อีกทั้งการฟื้นฟูพระศาสนา
๑.๓ พระสงฆ์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน
พระสงฆ์ถือว่ามีบทบาทต่อสังคมและความเป็นอยู่ เพราะการที่ประเทศเกิดความไม่สงบ และถูกรุกรานจากข้าศึก ประชาชนขาดที่พึ่ง และยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงต้องอาศัยวัด และมีพระสงฆ์ ซึ่งสามารถให้ความอบอุ่นใจ และกำลังใจ และยังเป็นผู้นำประชาชนในการต่อสู้กอบกู้เอกราช อยู่เคียงข้างกับประชาชน
๒. อิทธิพลทางด้านเศรษฐกิจ
๒.๑ เศรษฐกิจของเวียดนาม
มีลักษณะใกล้เคียงกับเศรษฐกิจของไทย ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวนา ดังนั้นจึงได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาในด้านเศรษฐกิจการปฏิบัติตามคำสอนทางศาสนาจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น คำสอนเกี่ยวกับการเลี้ยงชีวิตโดยธรรม ปราศจากการทุจริต โกง ปล้นจี้ เป็นต้น ล้วนมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของผู้คน
๒.๒ พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมแห่งเศรษฐกิจ
จะสังเกตเห็นได้ว่า บรรดาองค์กรต่าง ๆ ของคฤหัสถ์เกิดขึ้นด้วยแรงศรัทธาในพระพุทธศาสนาเกือบทั้งสิ้น เช่น องค์กรการกรรมกรชาวพุทธ องค์การพ่อค้าย่อยชาวพุทธ สหพันธ์ลูกจ้าง และข้าราชการชาวพุทธ สมาคมครูชาวพุทธ สมาคมผู้ขับรถรับจ้างโดยสารชาวพุทธ พุทธิกสตรีชาวพุทธ สมาคมเภสัชกรชาวพุทธ สมาคมนักเขียนและจิตรกรชาวพุทธ เป็นต้น องค์การเหล่านี้ถือว่า เป็นแหล่งสำคัญของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นอย่างมาก
๓. อิทธิพลทางด้านการเมือง
๓.๑ ในระบบการปกครองประเทศชาติ
มีการเอาศาสนธรรมมาเป็นหลัก ในการออกกฎหมายต่าง ๆ ของบ้านเมือง และในการนี้ พระสงฆ์ก็มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดไม่ว่าจะเป็นทางด้านศาสนา การศึกษา การเมือง และสังคม ผู้นำที่เข้าถึงพุทธศาสนาทุกระดับ จะได้รับการยอมรับเลื่อมใส ศรัทธา จากสังคมเป็นอย่างมากกว่าศาสนาอื่น ๆ
๓.๒ พระสงฆ์มีส่วนร่วม ในการต่อสู้กับการเมือง
ในสมัยรัฐบาลของโงดินเดียม พระพุทธศาสนาถูกกดขี่ ย่ำยี จากฝ่ายรัฐบาลที่นับถือคริสต์ศาสนา เป็นการทำลายความรู้สึกของพุทธศาสนิกชนอย่างมาก ทำให้มีการเดินขบวนประท้วงขับไล่รัฐบาล โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำมวลชน พระภิกษุถิช กวางดึ๊ก ได้เผาตนเองเพื่อประท้วงรัฐบาลซึ่งก่อความสะเทือนใจแก่ชาวพุทธเวียดนามไปทั่วประเทศ
๓.๓ พระสงฆ์กับผลกระทบทางการเมือง
ในยุคของนายพลเหงียนเกากี ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ ได้รับการต่อต้านจากชาวพุทธหัวรุนแรงอยู่ตลอด มีพระสงฆ์เป็นผู้นำในการต่อสู้ ระดมมวลชนเดินขบวนไปตามท้องถนนเป็นยุค ที่เรียกว่า ยุคหลวงพี่ระดมพลกลางท้องถนน [Monk and Mobs in The Street] แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ว่ายังเป็นพลังอำนาจอันสำคัญยิ่งใหญ่ที่ฝ่ายชาวบ้านเมืองยังต้องใส่ใจ หรือต้องพึ่งพาอาศัยเช่นกัน
๓.๔ เหตุแห่งความพ่ายแพ้ทางการเมืองของพระสงฆ์
พระสงฆ์ ซึ่งเป็นผู้นำของชาวพุทธมีจุดอ่อนสำคัญ คือ ความไม่พร้อมที่เข้าสวมบทบาทรับภาระหน้าที่ที่มาถึงได้ เพราะขาดพื้นฐานการศึกษา และ เพราะตลอดเวลาเกือบ ๑๐๐ ปี ที่ฝรั่งเศสยึดครองอำนาจในเวียดนาม ประชาชนทั่วไปถูกปล่อยปละละเลย ไม่ได้รับการศึกษา พระสงฆ์ที่เป็นผู้นำชาวพุทธล้วนมาจากตระกูลชาวไร่ชาวนา แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียนอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงความรู้แบบเก่า ๆ ที่สืบสานมาตามประเพณี น้อยองค์นักที่จะพูดภาษาฝรั่งเศส อังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ ได้ในวงการเมืองถือว่า พระสงฆ์เป็นกลุ่มชนผู้ด้อย หรือไร้การศึกษา มีลักษณะเด่นคือ กลัว และ ดูถูกวัฒนธรรมจากภายนอก แต่มีกำลังอิทธิพลอยู่ในหมู่ประชาชนทั่วไป
๓.๕ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของพระสงฆ์
ในสมัยนายพลเหงียน คานห์ ขึ้นครองอำนาจแทนนายพลเดือง วัน มินห์ พระสงฆ์ ที่เป็นผู้นำชาวพุทธก็ร่วมกันสนับสนุน ขบวนการต่าง ๆ เช่นองค์การเยาวชนที่เป็นฐานกำลัง พร้อมที่จะปฏิบัติการตามคำสั่งก็มีมาก ผู้นำในวงการภายนอกก็หันมาสนใจ รัฐบาลที่เข้ามาใหม่ก็ต้องเอาใจ พระสามารถพูดเสียงดังเข้าไปถึงกลางเวทีการเมือง คือต้องการให้คณะสงฆ์ มีเสียงในรัฐบาล หรือว่ารัฐบาลต้องรับฟังคณะสงฆ์ ต้องการให้คนที่คณะสงฆ์เลือก หรือเห็นเหมาะสมเข้าไปดำรงตำแหน่งในรัฐบาล ต้องการให้รัฐอุปถัมภ์พระพุทธศาสนามากขึ้น และต้องการให้เยาวชนชาวพุทธมีสิทธิ มีส่วนในชะตากรรมของสังคมเวียดนามมากขึ้น
หนังสืออ้างอิง
1.ชิตมโน. พระพุทธศาสนาในนานาประเทศ. กรุงเทพฯ: มหามกุฎราชวิทยาลัย. ๒๕๓๓
2.ทรงวิทย์ แก้วศรี. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา เล่ม ๑๐ พระพุทธศาสนาในอินโดจีน . กรุงเทพฯ: การศาสนา. ๒๕๓๐.
3.พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พระพุทธศาสนาในอาเซีย. กรุงเทพฯ ธรรมสภา, ๒๕๔๐.
4.พระมหาอุทัย ธมฺมสาโร. พระพุทธศาสนาและโบราณคดีในเอเซีย. กรุงเทพฯ: เฟื่องอักษร. ๒๕๑๖.
5.พระราชธรรมนิเทศ,(ระแบบ ฐิตญาโณ). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ. มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.
6.เสถียร โพธินันทะ. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ เล่ม ๒ กรุงเทพฯ: มหามกุฎราชวิทยาลัย. ๒๕๓๕
all,
documentary,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
documentary,
Thai
พระพุทธศาสนา ในจีน ที่ตุนหวง มรดกโลก
Posted by satasukh
Posted on 8:33 AM
with No comments
โบราณวัตถุในถ้ำโม่เกาเคยประสบการทำลายและความเสียหายอย่างร้ายแรงที่สุดและน่าเสียใจที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใกล้ของจีน
เมื่อปี 1900 ผู้คนได้พบถ้ำลับ ๆ ถ้ำหนึ่งโดยบังเอิญ ถ้ำนี้ยาว 3 เมตร กว้าง 3 เมตร ข้างในเต็มไปด้วยคัมภีร์ หนังสือ เอกสาร ภาพวาดภาพปัก ภาพหรือหนังสือที่พิมพ์จากแผ่น ศิลาจารึกจำนวนประมาณกว่า 50,000 ชิ้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับด้านต่าง ๆ ทางสังคมเกือบทุกด้าน เช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การเมือง ชนชาติ การทหาร ภาษา ตัวหนังสือ ศิลปะวรรณคดี ศาสนา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่และแพทยศาสตร์เป็นต้น ทั้งของจีนและของเอเซียกลาง เอเซียใต้และยุโรปตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ถึงศตวรรษที่ 11 จึงถือกันว่า เป็นหนังสือสารานุกรมยุคกลางและยุคโบราณ
หลังจากได้พบถ้ำนี้แล้ว นักผจญภัยจากประเทศต่าง ๆ ก็ทยอยกันเดินทางไปถึง ในช่วงเวลาไม่ถึง 20 ปี โบราณวัตถุในเมืองตุนหวงที่มีประมาณ 40000 ชิ้นถูกขโมยไป ซึ่งได้นำความเสียหายอย่างร้ายแรงถึงถ้ำโม่เกา เวลานี้ ที่อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อินเดีย เยอรมัน เดนมาร์ก สวีเดน เกาหลีใต้ ฟินแลนด์ สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ต่างก็มีโบราณวัตถุในเมืองตุนหวงเก็บสะสมไว้ รวม ๆ แล้ว เป็น 2 ใน 3 ของโบราณวัตถุในเมืองตุนหวงทั้งหมด
นับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา มีนักวิชาการจีนจำนวนหนึ่งเริ่มศึกษาวิจัยวัฒนธรรมตุนหวง เมื่อปี 1910 หนังสือจำนวนแรกเกี่ยวกับผลวิจัยศึกษาวัฒนธรรมตุนหวงโดยเฉพาะได้พิมพ์ออกจำหน่าย ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นักวิชาการจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก็ได้ให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรม ตุนหวง ทั้งดำเนินการวิจัยศึกษามิได้ขาดเช่นกัน ส่วนนักวิชาการจีนนั้นได้ผลสำเร็จที่มีความ สำคัญอย่างยิ่งยวดในด้านนี้
รัฐบาลจีนให้ความสำคัญต่องานอนุรักษ์ถ้ำโม่เกามาโดยตลอด เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจาก ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเดินทางไปชมถ้ำโม่เกามากยิ่งขึ้นทุกวัน รัฐบาลจีนจึงได้สร้างศูนย์วาง แสดงศิลปะตุนหวงตามเชิงเขาซานเวยตรงข้ามกับถ้ำโม่เกา โดยได้เลียนแบบถ้ำส่วนหนึ่งเพื่อ ให้ผู้คนเข้าชม
เมื่อเร็ว ๆ นี้ รัฐบาลจีนยังได้ลงทุน 200 ล้านหยวนเหรินหมินปี้สร้างถ้ำโม่เกาเลียนแบบแบบดิจิตอลขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ชมสามารถเกิดความรู้สึกว่าได้เข้าสู่ถ้ำจริง ๆ หากยังสามารถ มองเห็นของต่าง ๆ ภายในถ้ำอย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ของต่าง ๆ ภายในถ้ำประสบความ เสียหาย ทำให้ยืดอายุวัตถุโบราณในถ้ำโม่เกาและวัฒนธรรมของด้านนี้มีความยั่งยืนต่อไปข้อมูลเพิ่มเติม
all,
documentary,
Thai,
Rate it :
Labels:
all,
documentary,
Thai