พระโพธิธรรม (สันสกฤต: โพธิธรฺม, เทวนาครี बोधिधर्म; อักษรโรมัน (NLAC) : bōdhidharma; จีน: 菩提達摩, พินอิน: Pútídámó , Dámó) แต่ในนิยายกำลังภายในในประเทศไทยมักเรียก ตักม้อ หรือ ตั๊กม้อ (สำเนียงแต้จิ๋ว ตรงกับจีนกลางว่า ต๋าหมอ)เป็นพระภิกษุในศาสนาพุทธฝ่ายมหายานนิกายเซน มีประวัติไม่ชัดเจนนัก แต่เชื่อกันว่ามีตัวตนอยู่จริง และเป็นผู้สถาปนาวัดเส้าหลิน ในจีน ทั้งยังได้เผยแพร่วิชามวยจีนในหมู่พระเณรของวัดเส้าหลิน จนมีชื่อเสียงมาจวบจนทุกวันนี้
ตามตำนานระบุว่า ท่านเกิดเมื่อราว ค.ศ. 520 เดิมเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าแผ่นดิน แคว้นคันธารราษฎร์ ประเทศอินเดีย ใกล้เมืองมัทราสในปัจจุบัน มีนัยน์ตาสีฟ้า ตั้งแต่พระชนอายุยังเยาว์ ทรงปราดเปรื่องและแตกฉานในคัมภีร์ของทุก ๆ ศาสนา ตลอดจนวรรณคดี อักษรศาสตร์โบราณ นับเป็นปราชญ์เอกแห่งยุค
เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ พระองค์สามารถนั่งสมาธิเข้าฌานสมาบัติชั้นสูง อยู่เบื้องพระบรมศพของพระบิดานานตลอดถึง 7 วัน หลังจากนั้น จึงไปศึกษาแสวงธรรมอยู่กับพระปรัชญาตาระเถระ ผู้เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ 27 แห่งนิกายเซน (ซึ่งอ้างว่าสืบมาตั้งแต่พระมหากัสสปะในสมัยพุทธกาล ถือเป็นพระปฐมสังฆปริณายกของนิกายเซนในประเทศจีน) หลังจากนั้นท่านได้จาริกจากอินเดียไปเมืองจีน เมื่อราว ค.ศ. 526 (6 ขวบ?) ได้เดินทางไปยังเมืองกวางตุ้งของจีน เข้าเฝ้าจักรพรรดิอู่ตี้ และไม่นานต่อมาได้ก่อตั้งอารามขึ้นในเมืองลั่วหยาง และใช้เวลาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานถึง 9 ปีในการเพ่งผนังถ้ำ
ฝ่ายมหายาน ถือว่าพระโพธิธรรมเป็นสังฆปริณายกองค์ที่ 28 ที่สืบสายโดยตรงมาจากพระโคตมพุทธเจ้าผ่านทางพระมหากัสสปะ และยังเป็นผู้สถาปนานิกายเซนขึ้นมาในประเทศจีนอีกด้วย เนื่องจากคำสอนของท่านจะเน้นไปที่การเข้าฌาน แนวทางคำสอนของท่านจึงมักจะเรียกกันว่า ฌาน (สันสกฤต: [ธฺยาน] ध्यान : dhyan ) ในภาษาจีนเรียกว่า 'ฉาน'(สำเนียงจีนกลาง ส่วนสำเนีงแต้จิ๋วเรียกว่า เซี้ยง) และภาษาญี่ปุ่นว่า 'เซน'
ประวัติชีวิตของท่านถือเป็นตำนาน ขาดหลักฐานที่แน่นอน เช่น ตำนานหนึ่งเล่าว่า ท่านได้ตัดหนังตาทิ้ง เนื่องจากโมโหที่เผลอหลับไปขณะทำสมาธิ เมื่อหนังตานั้นตกถึงพื้น ก็เติบโตกลายเป็นต้นชา และตำนานยังเล่าต่อว่า ด้วยเหตุดังกล่าวภิกษุนิกายเซนจึงนิยมดื่มน้ำชา เพราะจะได้ไม่ง่วงเวลาทำสมาธิ
พ.ศ. 1079 มีการสร้างสถูปอุทิศถวายท่านขึ้นในเมืองเหอหนาน ภายหลังรัชสมัยจักรพรรดิถังไท่จง
ตุ๊กตาล้มลุกของญี่ปุ่น ที่เรียกว่า "ดะรุมะ" ก็เชื่อกันว่าสืบมาจากท่านตั๊กม้อนี้
Post a Comment
Thank you